1. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ – บาเยิร์น มิวนิค
แม้จะอายุล่วงเข้าวัย 32 ปีแล้วแต่ “เลวาน“ ก็ยังหิวกระหายในการล่าตาข่ายกับ บาเยิร์น มิวนิค อย่างต่อเนื่อง และเขาก็กลายเป็นดาวเตะที่สามารถทำประตูได้มากที่สุดในยุโรปเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยการยิงไป 48 ประตู พร้อมพาทีม เสือใต้ คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา 7 สมัยติดต่อกัน
น่าเสียดายที่ปีที่แล้วไม่มีการแจก บัลลงดอร์ ทำให้กองหน้าทีมชาติโปแลนด์ซึ่งเพิ่งพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นสมัยที่ 6 ต้องชวดรางวัลนี้ไป แต่ยังดีที่มีรางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมประจำของฟีฟามาปลอบใจ และเชื่อว่าปีนี้เจ้าตัวก็พร้อมท้าชิงรางวัลใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว
2. คิลิยัน เอ็มบัปเป้ – ปารีส แซงต์-แชร์กแมง
เอ็มบัปเป้ มีอายุห่างจาก เลวานดอฟสกี้ ถึง 10 ปี แต่ก็สามารถยิงประตูได้เท่ากันในฤดูกาลนี้ และเป็นการรักษาสถิติการระเบิดตาข่ายอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นให้กับ เปแอชเช เมื่อหลายปีก่อน พร้อมทั้งคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์เป็นรายการที่ 10 ให้ตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าจะพลาดแชมป์ ลีกเอิง ก็ตาม แต่กองหน้าวัย 22 ปีก็ยังมีฟอร์มที่โดดเด่นใน ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการจัดแฮททริคใส่ บาร์เซโลนา พร้อมทั้งยิง บาเยิร์น มิวนิค พาทีมทะลุเข้าสู่รอบเซมิไฟนอลได้สำเร็จ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศูนย์หน้าทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้สามารถรับมือกับเกมใหญ่ได้เป็นอย่างดี และหากผลงานในศึก ยูโร เข้าตา ก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนกระชากรางวัล บัลลงดอร์ จาก ก็องเต้ มาครองก็เป็นได้
3. เออร์ลิง ฮาแลนด์ – โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ในซีซัน 2020-2021 ที่ผ่านมา ฮาแลนด์ ในวัยแค่ 20 ปีกลายเป็นดาวยิงที่ถูกจับคู่กับ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ และถูกยกให้เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดแห่งยุค หลังจากที่สามารถระเบิดฟอร์มกับ ดอร์ทมุนด์ ได้ติดต่อกันเป็นฤดูกาลที่สอง
กองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ยิงให้ เสือเหลือง ไปในฤดูกาลที่ผ่านมา 41 ประตู พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล และคว้ารางวัลดาวซัลโวประจำ แชมเปี้ยนส์ลีก รวมแล้วนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาค้าแข้งในระดับสูงทั้งในสโมสรและทีมชาติ ลูกชายของ อัลฟ์ อิงเก้ ฮาแลนด์ ระเบิดตาข่ายคู่แข่งไปทั้งสิ้น 132 ลูกเข้าไปแล้ว ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการคว้า บัลลงดอร์ หรือไม่ ต้องไปลุ้นผลโหวตกันอีกที
4. รูเบน ดิอาส – แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ปีนี้ถือเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ของ รูเบน ดิอาส กองหลังทีมชาติโปรตุเกส นับตั้งแต่การได้ย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อช่วงซัมเมอร์ด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ การช่วยทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ของอังกฤษอย่าง คาราบาวคัพ และ พรีเมียร์ลีก รวมทั้งเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรายการ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาทำให้เขาเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก
ฟอร์มการเล่นของสตาร์วัย 24 ปีสามารถเติมเต็มช่องว่างที่ แว็งซ็องค์ กอมปานี ทิ้งเอาไว้เมื่อซีซันก่อนได้อย่างเนียนกริบ ด้วยการเก็บได้ 29 คลีนชีตจากการลงสนาม 50 นัด แถมยังเป็นคนปลุกชีพ จอห์น สโตนส์ ให้ฟื้นขึ้นมามีฟอร์มการเล่นที่เปล่งปลั่งอีกครั้ง และยังคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งประจำปีของสมาคมนักข่าวเมืองผู้ดีมาครองได้อีกด้วย ซึ่งดีกรีเช่นนี้อาจทำให้มีลุ้น บัลลงดอร์ ได้เช่นกัน แต่ก็คงอาจจะได้แค่การไปร่วมงานเท่านั้น
5. ลีโอเนล เมสซี – บาร์เซโลนา
ในขณะที่ คริสเตียโน โรนัลโด้ กำลังทำลายสถิติต่าง ๆ ของ ยูเวนตุส เป็นว่าเล่น ด้านคู่ปรับและเจ้าของรางวัล บัลลงดอร์ 6 สมัยก็ยังคงความเฉียบขาดและรับหน้าที่ “เดอะแบก” ให้กับ บาร์เซดลนา ตลอดทั้งซีซัน ด้วยการคว้ารางวัลดาวซัลโว ลาลีก้า จากการยิง 30 ประตูพร้อมเป็นแชมป์ โคปา เดล เรย์ อีก 1 สมัย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในรายการใหญ่ทั้งในลีกและ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ขึ้นชื่อว่า เมสซี แล้วก็ยังคงมีดีกรีมากพอที่จะลุ้นรางวัลอันยิ่งใหญ่นี้ และหากเจ้าตัวทำผลงานได้ดีใน โคปา อเมริกา ไม่แน่ว่าอาจะทิ้ง โรนัลโด้ คว้าสมัยที่ 7 ไปครองก็ได้
6. คริสเตียโน โรนัลโด้ – ยูเวนตุส
ปีนี้เป็นปีที่เงียบเหงาของ โรนัลโด้ กับ ยูเวนตุส เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงของสโมสร ทั้งการแต่งตั้ง อัรเดรีย ปิร์โล ขึ้นมาคุมทีม และสถานภาพทางการเงินที่ง่อนแง่น ทำให้พวกเขาทำได้เพียงแชมป์ โคปา อิตาเลีย เพียงใบเดียวเท่านั้น
แต่ “เจ๊ตโด้” ก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชมในวัย 36 ปี ด้วยการเลื่อนขวดโค้ก เอ้ย การยิงประตูเป็นกอบเป็นกำให้กับสโมสร พร้อมคว้ารางวัลดาวซัลโวของ กัลโช เซเรีย อา มาครองได้สำเร็จด้วยการยิงไป 29 ประตู ซึ่งเจ้าตัวยังมีลุ้นสร้างสถิติมากมายในศึก ยูโร ครั้งนี้ และหากพาโปรตุเกสบ้านเกิดได้แชมป์สมัยที่ 2 แน่นอนว่าก็มีสิทธิที่จะคว้า บัลลงดอร์ ทาบคู่รักคู่แค้นอย่าง ลีโอเนล เมสซี ได้อีกด้วย