1.มีความรับผิดชอบในสนามมากขึ้น
เมื่อมองย้อนกลับมาดูสถิติของ ป็อกบา ในเกมพบ เบิร์นลี่ย์ ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าเขามีอิทธิพลมากขนาดไหนทั้งสองฝั่งของสนาม เขาเคลียร์บอลถึง 5 ครั้ง, ดวลลูกกลางอากาศชนะ 5 จาก 6 ครั้ง, จ่ายบอลยาวสำเร็จ 7 จาก 9 ครั้ง, ตัดบอล 2 ครั้ง, แท็กเกิ้ล 2 ครั้ง, สร้างโอกาส 2 ครั้งและ ยิง 1 ประตู
นอกจากเรื่องเกมรุกที่เป็นจุดเด่นของเจ้าตัวแล้ว เขายังมีความรับผิดชอบในเรื่องเกมรับอีกด้วย ครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นฟอร์มแบบนี้จาก ป็อกบา ในสีเสื้อ “ปีศาจแดง” นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่? นี่ถือเป็นฟอร์มระดับ เวิลด์-คลาส ที่แฟนผีอยากเห็นมาตลอด
2.เปลี่ยนทัศนคติ
นับตั้งแต่ ป็อกบา กลับมา “ผีแดง” คำรบสอง เส้นทางการค้าแข้งของเขาก็เจอกับเรื่องยากลำบากหลายครั้ง มิโน่ ไรโอล่า เอเยนต์จอมแสบออกมาพูดเกี่ยวกับ ป็อกบา ที่แมนฯ ยูไนเต็ด นับไม่ถ้วน มูรินโญ่ ทำให้เรื่องราวเหล่านั้นดูแย่ลงไปอีก กุนซือชาวโปรตุเกสอาจจะเป็นคนที่เก่งเรื่องแท็คติกในสนาม แต่เรื่องการบริหารคนอาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมากนัก
ขณะที่ โซลชา สมควรได้รับเครดิตในการค่อยๆเปลี่ยนความคิดของ ป็อกบา จากตอนแรกที่เขาอยากออกจากสโมสร ทุกวันนี้ข่าวเริ่มเงียบลงไป ป็อกบา ยิงประตูและยิ้มแย้มกับเพื่อนร่วมทีมหลังเกม แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่ต่อสัญญาและเรายังไม่รู้อนาคตแต่คงไม่มีใครคิดหรอกว่าหลังจากที่ ไรโอล่า ออกมาพูดว่า “เวลาของป็อกบาที่ยูไนเต็ดหมดลงแล้ว” ป็อกบา จะโชว์ฟอร์มได้ดีแบบนี้
3.จัดการกับข่าวแง่ลบ
แม้ว่าจะมีข่าวแง่ลบมากมายเพียงใดแต่ โซลชา จะพูดทุกครั้งเมื่อตอบกับนักข่าวว่า “ป็อกบามีความสำคัญกับสโมสร” ไม่มีสักครั้งที่เขาพูดถึงตัวนักเตะ แต่เขาเลือกที่จะตอกกลับตัวเอเยนต์ในสไตล์โซลชา เขาเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นกุนซือโลกสวยแต่การที่ “โลกสวย” นี้มันอาจจะเป็นเรื่องดีอยู่บ้างโดยเฉพาะเรื่องแบบนี้
ฤดูกาลนี้ผู้คนพูดถึงเรื่องที่ ป็อกบา ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของโซลชา เนื่องจากเขาหลุดเป็นตัวสำรองบ่อยครั้งแต่มิดฟิลด์เลือดเฟร้นช์จำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นฟูสภาพร่างกายจากไวรัสโคโรน่า และโซลชาก็ให้เวลากับเขาเต็มที่ ระหว่างนั้นกุนซือก็ออกมารับหน้ากับสื่อแทนและจัดการตอบแบบไม่ให้สื่อสุมไฟเพิ่มมากขึ้น
