1. รูปเกมที่เป็นไปตามคาด
ตลอด 90 นาทีในเกมวันนี้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายเปิดเกมบุกเข้าใส่ตามฟอร์มซึ่งก็เป็นไปตามที่หลาย ๆ คนคาดไว้ ส่วน เรอัล มาดริด แน่นอนว่าพวกเขายังคงยึดมั่นในแทคติคเดิมที่ใช้มาตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
2. ราชัน เกือบนำตั้งแต่ครึ่งแรก
เกมนี้มีประเด็นให้ได้พูดถึงกันเล็กน้อยในช่วงท้ายครึ่งแรก ที่มีจังหวะ เบนเซมา ส่งบอลสู่ก้นตาข่ายไปได้แต่ถูกจับเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน ซึ่งก็มาการถกเถียงกันต่าง ๆ นา ๆ
เพราะก่อนที่บอลจะมาถึง เบนเซมา นั้น เฟเดริโก้ บัลบาเด้ เตะไปติดบล็อค ฟาบินโญ ทำให้เขาสัมผัสบอลเป็นคนสุดท้าย
3. กูร์ตัวส์ แมน ออฟ เดอะแมทช์
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเกมนี้ ลิเวอร์พูล หาโอกาสจบสกอร์ได้ถึง 22 ครั้งซึ่งเป็นการยิงตรงกรอบไปถึง 9 แต่ทั้งหมดนั้นไม่สามารถผ่านมือ ธีโบต์ กูร์ตัวส์ ไปได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งนายทวารชาวเบลเยียมรายนี้ช่วยเซฟจังหวะสำคัญ ๆ ทั้งลูกยิงของ ซาดิโอ มาเน ที่พุ่งปัดไปไปชนเสาอย่างหวุดหวิด
4. ทีมอังกฤษ เหมือนจะแพ้ทาง ทีมสเปน ในรอบชิง
เรียกได้ว่าเกมนี้เป็นนัดที่ 6 สำหรับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่สโมสรจาก พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เข้าชิงกับทีมจาก ลาลีกาสเปน ซึ่ง 5 ครั้งหลังเป็น สโมสรจากแดนกระทิงดุ ที่เข้าวินทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ บาร์เซโลนา ที่เอาชนะ อาร์เซนอล เมื่อปี 2006 ต่อมากับการอัด แมนฯ ยูไนเต็ด ติดต่อกันในปี 2009 และ 2011
5. สถิติจารึก คาร์โล อันเชล็อตติ
ชัยชนะหนนี้ของ เรอัล มาดริด สงผลให้ คาร์โล อันเชล็อตติ สร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นผู้จัดการทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้มากที่สุดตลอดกาลที่ 4 สมัยซึ่งยังไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน โดยเกิดขึ้นกับ เอซี มิลาน สองครั้งในปี 2003 และ 2007 กับ ราชันชุดขาว อีกสองครั้งในปี 2014 และ 2022