มีหลายสโมสรทีเดียวที่สร้างชื่อจากการปลุกปั้นผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ขึ้นมาประดับวงการ แต่คงไม่มีใครเหมือนกับ ฮอฟเฟนไฮม์ และ ไมนซ์ อีกแล้ว
สองสโมสรนี้ทำให้เรารู้จักกับ เยอร์เกน คล็อปป์, โธมัส ทูเคิล และ ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ หนำซ้ำยังรวมถึง ฮันซี ฟลิค, โดเมนิโก เตเดสโก, เปเญกริโน มาเตราซโซ
ในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก – จากการเก็บได้เพียง 7 แต้มจาก 17 เกม – แล้วสามารถอยู่รอดบนลีกสูงสุดต่อไปได้เลยและอันที่จริง เมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเข้ามาคุมทีมให้เป็นส่วนหนึ่งของการยกเครื่องใหม่
เมื่อ เยอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ไมนซ์ ที่คับคั่งไปด้วยปัญหาในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 เขากลายเป็นโค้ชคนที่หกของพวกเขาในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี
ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล คนปัจจุบันต่อยอดความสำเร็จในช่วงแรกนั้นด้วยพื้นที่และอิสระในการทำงานเพื่อค้นหาเคมีที่เข้ากันกับผู้เล่นของเขา เขานำ ไมนซ์ ไปสู่ความสำเร็จ
ทูเคิล ซึ่งได้รับประโยชน์จากเสรีภาพในการทำงานแบบเดียวกันและแบบแผนของเขาที่ไม่เหมือนใครก็ได้พาเขาไปสู่ความท้าทายที่ใหญ่ขึ้นอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ เชลซี
โดยในเวลาต่อมาทั้ง คล็อปป์และทูเคิล ได้ชูถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และคว้ารางวัลโค้ชชายยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ได้อีกด้วย ซึ่งในกรณีของ คล็อปป์ เขาได้มันมาครองถึงสองครั้ง
ฮอฟเฟนไฮม์ อยู่ใน บุนเดสลีกา แล้วเมื่อ นาเกิลส์มันน์ กุนซือที่อายุน้อยที่สุดของ บุนเดสลีกา ในวัย 28 ถูกผลักเข้าสู่สถานการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกัน
สิ่งที่เหมือนกันสำหรับทุกคนที่กล่าวมาข้างต้นคืออิสรภาพในการทำงานและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการของโค้ชอายุน้อยไฟแรงทุกราย