1. ไม้ตายของทั้งสองทีม
หลายคนอาจจะมองว่าไพ่เด็ดของ ลิเวอร์พูล อยู่ที่เกมรุกอันดุดันส่วนของ เชลซี อยู่ที่เกมรับอันแข็งแกร่ง ซึ่งนั่นก็ไม่ผิดแต่อย่างใดเพราะพวกเขาทั้งสองได้ทำการพิสูจน์ให้เห็นมาหลายต่อหลายเกมแล้วด้วยผลงานก่อนหน้านี้
เดียวกับ เชลซี ที่ใช้วิงแบ็คทั้งสองฝั่งเป็นตัวขับเคลื่อนเกม แต่น่าเสียดายที่ตัวหลักทั้งสองคนที่ฟอร์มกำลังยอดเยี่ยมต้องมาเจ็บยาวพร้อม ๆ กันทั้ง รีซ เจมส์ และ เบน ชิลเวลล์ จนส่งผลให้ผลงานตกลงไปอย่างชัดเจน
2. ไม่มี โจต้า ฟิร์มิโน ไม่มีปัญหา!
แม้ว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หงส์แดง จะไม่สามารถเรียกใช้งานสองหัวหอกตัวเก่งอย่าง ดิโอโก้ โจต้า และ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ที่ฟอร์มกำลังยอดเยี่ยมแต่พลาดท่ามาเจ็บไปพร้อมๆ กัน
ลิเวอร์พูล แต่แล้วจนถึงตอนนี้พวกเขาก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อยเพราะ 3 เกมหลังสุดพวกเขาจัดการซัดไปถึง 11 ประตูซึ่งไม่ใช่เพียง 3 ประสานอย่าง ซาลาห์ มาเน หรือ ดิอาซ ที่ทำหน้าที่แทนได้อย่างไร้ที่ติแล้ว ผู้เล่นในตำแหน่งอื่นๆ
3. ลูกากู ควร เล่น หรือ นั่ง ?
แม้ตัวเลขจะไม่ย่ำแย่ที่ 10 ประตูจาก 28 เกมรวมทุกรายการในฤดูกาลนี้ แต่มันช่างสวนทางกับผลงานในสนามที่ต้องบอกว่าหมดลายเพชรฆาตจอมถล่มประตูอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมกับเกม ที่แทบจะไม่มีโอกาสได้เล่นกับบอลตลอด 90 นาที
ลูกากู ใช้ความใหญ่เบียดบังพิงและพลิกเข้าหาประตูเลย แถมยิ่งไปกว่านั้นการนำ ไค ฮาเวิร์ตซ์ มายืนเป็นตัวเป้าเหมือนฤดูกาลก่อนกลับดูดีกว่าชัดเจน นั่นจึงเกิดคำถามว่าเกมนี้ ลูกากู ควรจะอยู่ที่ใดหลังกรรมการเป่านกหวีดเริ่มเกม
4. หงส์แดง เจ้าพ่อ อีเอฟแอล คัพ
หลายคนคงคิดว่า คาราบาว คัพ รายการนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คงเรียกได้ว่าเป็นขาประจำแชมเปี้ยนส์จากผลงานการชูถ้วยถึง 6 สมัยในรอบ 8 ปีหลัง ซึ่งต้องบอกว่าน่าเสียดายที่ปีนี้พวกเขาไม่มาตามนัด
แมนฯ ซิตี้ ที่ 8 สมัยนั่นก็คือ ลิเวอร์พูล โดย 6 จาก 8 สมัยเกิดในช่วงยุค 80 ก่อนจะทำได้อีกสองครั้งในปี 2003 และ 2012 อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหนือกว่า เรือใบสีฟ้า ในรายการนี้นั่นคือการที่ทะลุเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้ 16 ครั้ง