1.ซาลาห์ ยังออกทะเล
ณ เวลานี้ แต่หนึ่งในจุดที่เห็นได้ชัดว่าเริ่มแผ่วลงไปนั่นคือฟอร์มการเล่นของตัวความหวังอย่าง โม ซาลาห์ ฮีโร่ผู้ซัดแฮททริกพา หงส์แดง บุกอัด ปีศาจแดง ได้ถึง โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในนัดแรก 0-5 ที่ ณ เวลานี้
ความร้อนแรงดูจะหดหายไปซึ่งก็มีความเป็นได้จากหลายปัจจัยตั้งแต่สภาพร่างการที่เริ่มอ่อนล้าจากการต้องกร่ำศึกหนักแถมยังเป็นตัวหลักให้ทีมมาตั้งแต่ต้นฤดูกาลซึ่งพวกเขาก็ดันผลงานได้ดีจนเข้ารอบลึกทุกรายการจนทำให้มีเกมที่ต้องลงเล่นมากกว่าชาวบ้านเขา
2.แมนยู ต้องมีทีเด็ดมากกว่า โรนัลโด้
แม้ว่าเกมกับ นอริช ซิตี้ ที่ผ่านมา คริสเตียโน โรนัลโด้ จะคืนฟอร์มเก่งกดแฮททริกพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้า 3 คะแนนไป
แต่ต้องบอกเลยว่าการพบกับ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั่วโมงมันจะแตกต่างกับการพบบ๊วยอย่าง นอริช แน่นอน ซึ่งหาก ราล์ฟ รังนิค ยังหวังพึ่งจะให้ โรนัลโด้ งั้นฟอร์มเทพพาทีมคว้า 3 คะแนนออกจาก แอนฟิลด์
3.รังนิค รู้วิธีรับมือ คล็อปป์
สถิติที่น่าสนใจสุด ๆ ก่อนเกมนี้คือการพบกัน 13 เกมระหว่างสองกุนซืออย่าง ราล์ฟ รังนิค และ เยอร์เก้น คล็อปป์ ปรากฎว่านายใหญ่ ลิเวอร์พูล เอาชนะไปได้เพียง 2 เกมเท่านั้น
4.แรงผลักดันของ ปีศาจแดง
ก่อนหน้านี้ต้องบอกเลยว่าฟอร์มของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยจริง ๆ ซึ่งก็หนักไปทางด้านลบเสียเป็นส่วนใหญ่ทั้งที่พวกเขายังมีโอกาสลุ้นอันดับที่ 4 อยู่ก็ตาม
สเปอร์ส และ อาร์เซนอล ต่างนัดกับแพ้จน ปีศาจแดง ไล่จี้ขึ้นมาติด ๆ แล้วนั่นเอง ซึ่งแฟน ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็คงหวังลึก ๆ ว่าทีมของพวกเขาจะใช้โอกาสที่อยู่แค่เอื้อมนี้สร้างแรงผลักดันให้พวกเขาทำผลงานได้ดีในเกม “แดงเดือด”
5.เป็นเกมที่มีความหมายกับทั้งสองทีม
ช่วงท้ายฤดูาลแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เราจะเริ่มเห็นเค้าโครงหน้าตาของความสำเร็จในปีนั้น ๆ ของแต่ละทีม ซึ่งก็ดันบังเอิญว่า ณ เวลานี้ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เปอร์ส และ อาร์เซนอล เพลี่ยงพล้ำโกยแต้มเพื่อหวังยึดอันดับที่ 4 หลังจบฤดูกาล จึงทำให้ 3 คะแนนในเกมนี้จะมีความหมายมากสำหรับทั่งคู่