1. วิลเลี่ยมส์ พร้อมสำหรับเป็นตัวจริงแล้ว ?
ต้องบอกเลยว่าการที่ โฌแอล มาติป ไม่สามารถลงสนามได้ในเกมรับมือ สเปอร์ส ถือเป็นเรื่องเสียหายหลายแสนสำหรับ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะการที่ คล็อปป์ ตัดสินใจใช้งาน ริส วิลเลี่ยมส์ ยืนตัวจริงคู่กับ ฟาบินโญ่ ถือว่าเสี่ยงมากๆ เนื่องจากเกมรุกของทีมเยือนในเวลานี้ดุดันเหลือเกิน
คล็อปป์ เลือกที่จะไม่ใช้งาน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงไปเยือนเซนเตอร์แบ็ก เพราะอาจทำให้แดนกลางของทีมมีช่องโหว่ โดยแมตช์นี้ถือเป็นบททดสอบชั้นดีสำหรับ “เจ้าหนูรีส” เมื่อเขาต้องรับมือกับ แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึน มิน รวมไปถึงบรรดาผู้เล่นเกมรุกของ “ไก่เดือยทอง” ที่กำลังพกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า
2. แท็กติกเน้นปลอดภัยทำให้พลาดโอกาสทอง
หลังจากที่พวกเขาต้องตกเป็นรอง “หงส์แดง” ในช่วงนาทีที่ 25 แท็กติกของ มูรินโญ่ จำเป็นต้องเปลี่ยน และนั่นหมายความว่าจะเป็นโอกาสของ ลิเวอร์พูล ที่ได้เล่นในเกมถนัดมากขึ้น เพราะคู่แข่งจะเริ่มหันมาเปิดเกมบุกเพื่อเอาประตูตีเสมอให้ได้ และในที่สุดก็ทำสำเร็จจาก “อาซน” ซึ่งมาจากการเล่นสวนกลับที่แม่นยำของพวกเขา
เห็นได้ชัดว่า ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับความยากลำบากในการรับมือกับการวิ่งขึ้นกดดันสูงของ สเปอร์ส ในช่วงครึ่งหลัง แต่มันน่าเสียดายที่ มูรินโญ่ ดันยึดติดกับแท็กติกที่เน้นการเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน สุดท้ายพวกเขาต้องกลับบ้านมือเปล่า ลองคิดดูก็แล้วกันหาก “เฮียมู” กล้าเล่น งานนี้เจ้าบ้านอาจน้ำตาร่วงก็ได้
3. ยิงทิ้งยิงขว้างอย่างไม่น่าเชื่อ
สเปอร์ส อาจจะเน้นการเล่นปลอดภัยไว้ก่อนในครึ่งแรก ทำให้เกมรุกของพวกเขาไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก ยกเว้น “อาซน” ที่แสดงให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเขาเป็นนักเตะระดับโลก และความเร็วผสมกับความนิ่งของ หัวหอกชาวเกาหลีใต้ ถือเป็นองค์ประกอบของยอดนักเตะ
ประตูตีเสมอของ ดาวยิงเลือดโสมขาว เต็มไปด้วยความเยือกเย็น และกล้ามากๆ ซึ่งการซัดบอลผ่านมือ อลีสซง เบ็คเกอร์ หนึ่งในผู้รักษาประตูที่เหนียวที่สุดในโลก ยิ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักเตะมากยิ่งขึ้น ขณะที่ในครึ่งหลัง สเปอร์ส กลับมาเล่นด้วยฟอร์มที่โดดเด่นกว่าเจ้าบ้านในช่วงต้นเกม
4. โจนส์ ยิ่งเล่นยิ่งพัฒนา
ตอนนี้ คล็อปป์ ได้กองกลางชั้นดีเพิ่มขึ้นอีก 1 คนนั่นก็คือ เคอร์ติส โจนส์ ซึ่งฟอร์มการเล่นในครึ่งแรกของเขาต้องบอกเลยว่าสุดยอดเกินห้ามใจ โดยเขาแสดงให้เห็นถึงทักษะชั้นยอดทั้งการครองบอลที่เหนียวแน่น และการผ่านบอลที่แม่นยำ รวมทั้งยังเล่นด้วยการมั่นใจอย่างมาก
โจนส์ พัฒนาฝีเท้าจนตอนนี้แทบจะเป็นเหมือนนักเตะสไตล์โฮลดิ้ง มิดฟิลด์ เพราะแมตช์นี้เขาทำหน้าที่คอยพักบอล และยังเดินเครื่องเชื่อมเกมได้อย่างเนียนตา นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดในการลากเลื้อยเข้าไปในพื้นที่อันตราย และมีส่วนกับประตูแรกที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงให้ทีมขึ้นนำ
5. สามประสานกลับมาแล้ว
เกมนี้ต้องบอกว่า ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปั่นป่วนเกมรับของ สเปอร์ส แม้หลายคนอาจจะมองว่าพวกเขาไม่สามารถเจาะเข้าไปสร้างโอกาสในกรอบเขตโทษได้มากนัก แต่ทุกครั้งที่ “หงส์แดง” เปิดเกมบุก ทีมเยือนต้องวิ่งมาเล่นเกมรับเกือบทั้งทีม ซึ่งทำให้เวลาที่พวกเขาจะสวนกลับ จึงทำได้ไม่ค่อยแม่นยำ
“โม ซาลาห์” ที่จัดการเบิกประตูให้ทีมขึ้นนำ แสดงให้เห็นความมทุ่มเทในการเล่นที่น่าเหลือเชื่อมากๆ เขาวิ่งพล่านไปทั่วสนาม พร้อมที่จะวิ่งลงไปในแดนกลางเพื่อล้วงบอล ที่สำคัญ “คิง ออฟ อียิปต์” ยังทำได้ดีเยี่ยมไม่ว่าจะตอนมีบอลหรือไม่มีบอล พูดตรงๆ หากเป็นวันของ ซาลาห์ เกมนี้เขาคงมีชื่อทำประตูที่สองแหงๆ